ความเครียด กับการลดน้ำหนัก มีความเกี่ยวพันกันอย่างไร

ความเครียดและการลดน้ำหนักมีความเกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อน เนื่องจากความเครียดสามารถส่งผลกระทบทั้งทางจิตใจและทางร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลให้การลดน้ำหนักยากขึ้นหรือง่ายขึ้น ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายและพฤติกรรมการรับมือของแต่ละบุคคล

ความเครียดมีผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย

เมื่อเรารู้สึกเครียด ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยร่างกายรับมือกับสถานการณ์เครียด แต่ถ้าระดับคอร์ติซอลสูงนานเกินไป อาจส่งผลต่อกระบวนการเผาผลาญในร่างกายและทำให้การลดน้ำหนักช้าลง ฮอร์โมนคอร์ติซอลมีบทบาทในการสะสมไขมัน โดยเฉพาะในบริเวณหน้าท้อง เนื่องจากร่างกายมีแนวโน้มจะเก็บพลังงานไว้ในรูปของไขมันในสถานการณ์ที่ต้องการพลังงานฉุกเฉิน

 

พฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนแปลง

ความเครียดยังสามารถส่งผลให้เกิดการกินมากเกินไปหรือการกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งเรียกว่า “การกินเพื่อคลายเครียด” (Emotional Eating) หลายคนมักหันไปหาอาหารที่มีแคลอรีสูง น้ำตาล หรือไขมันสูง เพื่อปลอบใจและลดความเครียดชั่วคราว อย่างไรก็ตาม การกินแบบนี้สามารถทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่าย ทำให้กระบวนการลดน้ำหนักล้มเหลว นอกจากนี้ การควบคุมการกินอาหารอาจถูกขัดขวางเมื่อความเครียดทำให้เกิดความไม่แน่นอนในพฤติกรรมการบริโภค

 

ความเครียดกับการออกกำลังกาย

เมื่อมีความเครียด บางคนอาจรู้สึกเหนื่อยล้าหรือหมดแรงจูงใจในการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดน้ำหนัก ในทางกลับกัน สำหรับบางคน ความเครียดอาจทำให้เกิดการออกกำลังกายมากเกินไปหรือหักโหมเกินไป ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าและอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ทำให้กระบวนการลดน้ำหนักล่าช้า

 

การนอนหลับไม่เพียงพอ

ความเครียดยังส่งผลต่อคุณภาพของการนอนหลับ การนอนหลับไม่เพียงพอหรือการนอนไม่หลับมักเกิดขึ้นเมื่อคนมีความเครียด ซึ่งการนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลให้ระดับฮอร์โมนที่ควบคุมความหิว เช่น เลปตินและเกรลิน (Leptin and Ghrelin) เสียสมดุล ทำให้รู้สึกหิวมากขึ้นในระหว่างวัน และนำไปสู่การกินมากขึ้น การนอนหลับที่ไม่ดีจะทำให้ร่างกายไม่มีพลังงานในการออกกำลังกาย และส่งผลให้การเผาผลาญช้าลง

 

วิธีจัดการความเครียดเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก

การจัดการความเครียดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในวิธีที่ดีคือการออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยเผาผลาญแคลอรี แต่ยังช่วยลดระดับความเครียดได้ด้วย เนื่องจากการออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นโดรฟิน (Endorphins) ที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น

 

นอกจากนี้ การนอนหลับให้เพียงพอ การทำสมาธิ หรือการฝึกการหายใจลึก ๆ ก็เป็นวิธีที่ช่วยลดความเครียดและส่งเสริมสุขภาพร่างกายและจิตใจ การตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และให้เวลาเพียงพอกับตัวเองในการลดน้ำหนักก็ช่วยลดความกดดัน และทำให้กระบวนการลดน้ำหนักเป็นไปอย่างยั่งยืน

 

### สรุป

ความเครียดมีผลกระทบอย่างมากต่อการลดน้ำหนักผ่านหลายกลไก ทั้งการเปลี่ยนแปลงในระดับฮอร์โมน การกินอาหารที่ไม่เหมาะสม การออกกำลังกายที่ลดลง และการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ การจัดการความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การลดน้ำหนักสำเร็จและสุขภาพดีในระยะยาว

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    hoiana เวียดนาม

วิธีการเลือกซื้อผงซักฟอกให้เข้ากับลักษณะผ้าของคุณ

สำหรับแม่บ้านอย่างเราเราก็จำเป็นที่จะต้องหาผลิตภัณฑ์ซักผ้าเพื่อให้เข้ากับผ้าของเราโดยไม่ทำให้สีมันจืดหรือต้องการให้ผ้ามันสะอาดดังนั้น ดังนั้นการเลือกซื้อผงซักฟอกจึงเป็นขั้นตอนหนึ่งที่เราจำเป็นจะต้องตัดสินใจให้ดี ผงซักฟอกที่ดีไม่จำเป็นที่จะต้องมีราคาแพงเสมอไปแต่บางคนซื้อผงซักฟอกแบบถูกมาใช้ ก็อาจจะเกิดอาการคันตามผิวหนังหรือทำให้ผ้าซีดลงเร็วกว่าเดิมไม่ได้ช่วยถนอมใหญ่ผ้าให้แก่ผ้าของคุณเลย

ดังนั้น  เครื่องช่วยฟังแบบชาร์จ   เราจึงมีเคล็ดลับในการเลือกผงซักฟอกมาฝากคุณแม่บ้านทุกคนเพื่อเป็นการตัดสินใจในการซื้อที่ถูกต้องมาดูกันเลยว่ามีวิธีการเลือกอย่างไรบ้าง

 

1.เลือกผงซักฟอกให้เหมาะกับผ้าของคุณ

ผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกที่เราเห็นนั้นจะมีการบอกข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับผ้าดังนั้นคุณสามารถที่จะเลือกได้ว่ามันเป็นซักฟอกที่นำไปซักผ้าอะไรยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณซื้อผงซักฟอกที่สำหรับซักผ้าขาว แต่คุณต้องการที่จะไปซักผ้าสีแบบนี้ถือว่าผิด ดังนั้นเลือกให้เหมาะสมถ้าสมมติว่าคุณจะซักผ้าสีก็ควรเลือกผงซักฟอกที่เหมาะกับผ้าสีจะไม่ทำให้ผ้าสีของคุณนั้นจืดลงยังคงความสีสดอยู่เหมือนเดิมแม้ว่าจะซักแล้วหลายรอบก็ตาม

 

2.เลือกผงซักฟอกให้เข้ากับเครื่องซักผ้าของคุณ

แน่นอนว่าการเลือกซื้อผงซักฟอกก็ต้องดูเครื่องซักผ้าของคุณด้วยเพราะว่าถ้ามันไม่เข้ากันก็อาจจะทำให้ผ้าไม่สะอาดหรืออาจจะทำให้ติดผ้าได้ดังนั้นวิธีการเลือกผงซักฟอกก็ต้องดูเครื่องศักผ้าเป็นลักษณะแบบไหนอ่ะ จากนั้นให้เราไปดูผงซักฟอกว่าใช้กับเครื่องซักผ้าแบบใดโดยมันจะมีสองแบบด้วยกันนั่นก็คือการซักมือและเครื่องฝาบน และอีกอย่างนึงก็จะเป็นการสักแบบเครื่องฝาหน้าดังนั้นจำเป็นที่จะต้องดูเครื่องซักผ้าของแล้วเลือกน้ำยาให้เข้ากับเครื่องซักผ้า

 

3.การเลือกซื้อผงซักฟอกที่อ่อนโยนต่อผ้า

ถ้าคุณเป็นบุคคลที่ไม่ได้ทำงานหนักหรือทำงานที่มันต้องเปื้อนเสื้อผ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้น้ำยาแบบรุนแรงหรือเข้มข้นซึ่งมันจะทำให้ผ้าของคุณดูหมองได้ดังนั้นเลือกผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้าชนิดอ่อนโยนต่อผ้าของคุณจะทำให้ผ้าของคุณอยู่กับคุณได้นานและสีจะไม่ซีดเร็ว

 

หลักการซักผ้าจะต้องแยกภาษีและผ้าขาวออกจากกันนั่นรวมไปถึงภาคที่มีลักษณะเปื้อนมากกว่าปกติควรที่จะต้องแยกออกไปด้วยเพื่อทำความสะอาดและเลือกผงซักฟอกให้เหมาะสมไม่ควรใช้ผ้าที่มีความสกปรกมากกับผ้าที่มีความสกปรกน้อยซักรวมกันเพราะถ้าเราใช้น้ำยาสูตรเข้มข้นผ้าที่มันไม่ได้สกปรกมากจะก่อให้เกิดสารระคายเคืองได้ดังนั้นวิธีการแยกซักจึงถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับผ้าของคุณ

โรคที่เกิดมาจากพฤติกรรมการกิน

เมื่อพูดถึงเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ  hoiana เวียดนาม  ในปัจจุบันนี้มีเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด และสาเหตุของการเกิดโรคภัยต่างๆนี้ก็มีมากมายหลายสาเหตุเช่นเดียวกัน ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงโรคที่เกิดจากมาพฤติกรรมการกินของเราเองซึ่งก็มีมากมายหลายโรคมาดูกันว่าหากเราไม่ดูแลหรือใส่ใจตัวเอง มีพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้องจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง

โรคที่เกิดจากพฤติกรรมการกินมีหลายประเภท ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ดังนี้:

  1. โรคอ้วน (Obesity):

   – เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีแคลอรีสูงเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ เช่น อาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และขาดการออกกำลังกาย เช่น กระเพราะหมูกรอบ หรือข้าวขาหมู เป็นต้น

   – ผลกระทบ: เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคข้อเข่าเสื่อม

  1. โรคเบาหวานประเภท 2 (Type 2 Diabetes):

   – เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง หรืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่อง

   – ผลกระทบ: ระบบหลอดเลือด หัวใจ ไต และการมองเห็นเสียหาย

  1. โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension):

   – เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารแปรรูป อาหารเค็มจัด

   – ผลกระทบ: เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคไต และโรคหลอดเลือดสมอง

  1. โรคไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia):

   – เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง เช่น เนื้อแดง ไข่แดง เนย และอาหารทอด

   – ผลกระทบ: เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

  1. โรคเกาต์ (Gout):

   – เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  หรือแม้แต่ผักบางชนิดก็มีกรดยูริกสูงเช่นเดียวกัน เช่น ผักชะอม รวมถึงถั่วๆ ต่างๆ 

   – ผลกระทบ: ปวดข้อและข้ออักเสบเฉียบพลัน

  1. โรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ (Gastritis and Gastroenteritis):

  – เกิดจากการบริโภคอาหารที่ไม่สะอาด หรืออาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน

   – ผลกระทบ: อาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ และอาเจียน

  1. โรคขาดสารอาหาร (Malnutrition):

   – เกิดจากการบริโภคอาหารไม่ครบถ้วนหรือไม่เพียงพอ เช่น ขาดวิตามิน โปรตีน หรือแร่ธาตุที่จำเป็น

   – ผลกระทบ: ภูมิคุ้มกันต่ำ การเจริญเติบโตช้า และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

โรคต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนี้ หากว่าเรานั้นไม่อยากที่จะเจ็บป่วยโดยโรคต่างๆเหล่านี้ การป้องกันโรคเหล่านี้สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ซึ่งเป็นพฤติกรรมพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น   การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ยังควรที่จะ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและที่สำคัญควรที่จะ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีแคลอรีสูง ไขมันสูง น้ำตาลสูง และโซเดียมสูง

โรคหลอดเลือดอุดตัน

โรคหลอดเลือดอุดตันเป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของสารต่าง ๆ ในเส้นเลือดทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจหรืออาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการไหลเวียนของเลือด เช่น อัมพาต หรืออาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้

 เรื่องสำคัญที่สำคัญในการจัดการโรคหลอดเลือดอุดตันคือการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รักษาน้ำหนักที่เหมาะสม ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และควบคุมความดันเลือดและระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเหมาะสมด้วยการรักษาทางการแพทย์

 อย่างไรก็ตาม หากมีอาการที่ไม่ปกติ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง หรืออาการป่วยจากโรคหลอดเลือดอุดตัน ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมโดยเฉพาะ

สัญญาณเสี่ยงของโรคหลอดเลือดอุดตันสามารถประกอบด้วยหลายปัจจัย เช่น:

  1. ประวัติครอบครัว: หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน มีโอกาสที่จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นสำหรับบุคคลในครอบครัวอื่น ๆ 
  2. สุขสภาพร่างกาย: โรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, และระดับไขมันในเลือดสูง เป็นตัวแทนของสภาพร่างกายที่เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดอุดตัน
  3. พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ: การสูบบุหรี่, การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง, การไม่ออกกำลังกายเป็นต้น สามารถเพิ่มความเสี่ยงให้กับโรคหลอดเลือดอุดตัน
  4. น้ำหนักตัว: ความอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกินมากอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดอุดตัน
  5. อายุ: คนที่มีอายุมากขึ้นมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดอุดตันมากขึ้น เนื่องจากมีเวลาในการสะสมสารต่าง ๆ ในเส้นเลือดมากขึ้น
  6. การวินิจฉัยมะเร็ง: บางประเภทของมะเร็งและการรักษามะเร็งบางประเภทอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดอุดตัน

 

หากคุณมีความสงสัยว่ามีโรคหลอดเลือดอุดตัน สิ่งที่ดีที่สุดคือควรพบแพทย์หรือผู้ให้บริการด้านการแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม แพทย์จะทำการตรวจสุขภาพประจำเบื้องต้น เช่น การวิเคราะห์ประวัติการเจ็บป่วย, การตรวจความดันโลหิต, การตรวจระดับไขมันในเลือด, และอื่น ๆ ตามความจำเป็น

 

การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดอุดตันอาจรวมถึงการใช้เทคนิคการฟังก์ชันการฟื้นตัวของหลอดเลือด (arterial function testing), การทำการตรวจการทำงานของหัวใจ (cardiac stress testing), การตรวจสอบระดับไขมันในเลือด, การทำการตรวจภาพวิเคราะห์ทางการแพทย์ (imaging studies) เช่น การทำ CT scan หรือ MRI และอื่น ๆ ตามความเหมาะสม

 

อย่าละเลยการตรวจหาโรคหลอดเลือดอุดตันหากมีสัญญาณหรืออาการที่ไม่ปกติ เพราะการรักษาโรคหลอดเลือดอุดตันในระยะแรกสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะที่รุนแรงมากขึ้นในอนาคตได้ คำแนะนำเหล่านี้เป็นเพียงข้อแนะนำทั่วไป และ  หูตึงรักษา     ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องที่สุดสำหรับสุขภาพของคุณ

รู้หรือไม่ ซื้อยามากินเองบ่อยๆ อาจเสี่ยงเป็นโรคไตได้

การซื้อยามารับประทานเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรอย่างถูกต้อง อาจเป็นพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสมหรือเกินขนาดอาจนำไปสู่การเกิดโรคไต ซึ่งเป็นอันตรายที่หลายคนอาจไม่ตระหนักถึง

โรคไต    เป็นภาวะที่ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายสะสมสารพิษและเสียสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย การซื้อยามารับประทานเองโดยไม่มีการตรวจสอบความเหมาะสม

อาจทำให้เกิดภาวะเป็นพิษต่อไตจากการได้รับยาในปริมาณที่เกินความจำเป็นหรือยาที่มีผลข้างเคียงต่อไต ตัวอย่างเช่น ยากลุ่ม NSAIDs ซึ่งเป็นยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) ที่ใช้รักษาอาการปวดหรืออักเสบ ซึ่งหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานหรือใช้ในขนาดที่สูงเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะไตเสื่อมได้

 

นอกจากนี้ยังมียาอีกหลายประเภทที่อาจทำให้เกิดโรคไตได้ เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด

ยาลดความดันโลหิต ยารักษาเบาหวาน และยาสมุนไพรบางชนิดที่ไม่ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยอย่างเหมาะสม ยาเหล่านี้หากใช้อย่างไม่ถูกต้องหรือติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลต่อการทำงานของไตและทำให้เกิดโรคไตได้

 

การซื้อยารับประทานเองยังเสี่ยงต่อการใช้ยาที่ไม่ถูกต้องสำหรับอาการที่ตนเองเป็นอยู่ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาไข้หวัดซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสที่ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ การใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นอาจทำให้เกิดภาวะดื้อยาและยานั้นไม่สามารถรักษาอาการอื่นในอนาคตได้

นอกจากนี้การใช้ยาที่ไม่มีคุณภาพหรือยาปลอมที่ซื้อจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถืออาจมีส่วนประกอบที่เป็นพิษต่อไตและส่งผลต่อการทำงานของไตในระยะยาว

 

วิธีการป้องกันการเกิดโรคไตจากการใช้ยา คือ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยเฉพาะยาในกลุ่มที่มีผลข้างเคียงต่อไต ควรรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ และไม่ควรใช้ยาในปริมาณที่เกินกว่าที่แพทย์หรือเภสัชกรกำหนด

นอกจากนี้  คาสิโนเวียดนาม    ควรมีการตรวจสุขภาพและตรวจไตเป็นระยะ โดยเฉพาะหากมีการใช้ยาที่อาจมีผลต่อไตอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดโรคไตในระยะยาว

 

การดูแลสุขภาพไตเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ ไม่เพียงแค่การหลีกเลี่ยงการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรักษาสุขภาพโดยทั่วไป เช่น การดื่มน้ำให้เพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือหรือโปรตีนสูงเกินไป ซึ่งอาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้น การรับประทานยาที่มีผลต่อไตควรได้รับการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการดูแลสุขภาพไตอย่างเหมาะสม

เป็นปัญหาใหญ่แดดสะท้อนเข้าบ้าน บ้านร้อนแก้อย่างไร

เป็นปัญหาใหญ่แดดสะท้อนเข้าบ้าน บ้านร้อนแก้อย่างไร ประเทศไทยเป็นเมืองที่มีแสงตะวันจัดทั้งปี แม้กระทั้งในตอนหน้าหนาวที่มีอากาศเย็นแสงตะวันก็ยังมีความเข้มข้นสูง ซึ่งมีรังสี UV ที่มีอันตรายต่อผิวหนังของพวกเรา ยิ่งในฤดูร้อนแสงอาทิตย์ยิ่งรังแกกับพวกเรามากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าพวกเราจะหลบอยู่แม้กระนั้นในบ้าน แดดก็ยังได้โอกาสส่องมาประทุษร้ายพวกเรา แถมยังเป็นเหตุให้บ้านร้อนอีกด้วย

วันนี้ ในบ้าน ก็เลยได้เก็บรวบรวมเอา 5 แนวทาง แก้ไขปัญหา แสงอาทิตย์ส่องเข้าบ้าน มาให้สหาย ๆ ได้เก็บไอเดียกัน เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับในการช่วยให้บ้านของเพื่อนพ้องๆสามารถหลบแดด แล้วก็เย็นสบายได้ตลอดทั้งปี ไปดูแต่ละแนวทางกันเลยครับผม

 

  1. บังแสงอาทิตย์ด้วยต้นไม้ การปลูกต้นไม้ไว้ข้างบ้าน โดยตั้งไว้ภายในจุดที่สามารถจะช่วยกรองความร้อนแล้วก็ให้แสงตะวันอ่อนๆลอดผ่านไปสู่ตัวบ้าน หรือถ้าไม้ที่สูงรวมทั้งมีพุ่มไม้แผ่ออกจะกว้างจนกระทั่งบังหลังคาได้ ก็จะช่วยกรองความร้อนบนหลังคาได้อีกทางหนึ่งด้วย

 

  1. จัดตั้งซุ้มบังแดด การตั้งซุ้มไม้บังแดดไว้รอบ ๆ หน้าบ้านตรงหน้าบ้านหรือทางทิศทางที่แดดส่อง สามารถช่วยกรองความร้อนจากแสงตะวันให้เหลือแค่แสงไฟอ่อนๆจากดวงตะวัน สำหรับรอบ ๆ ที่ควรจะจัดตั้งซุ้มก็คือชายคาของตัวบ้าน โดยความยาวของซุ้มจะอยู่ที่ 40 องศา โดยวัดกับพื้นบ้าน

 

  1. เลือกใช้ฝาผนังตึกแบบฝาขัดแตะ จุดเด่นของการใช้ฝาผนังแบบฝาขัดแตะก็คือนอกเหนือจากการที่จะรับแสงไฟได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมาวิตกกังวลหรือกลุ้มใจเรื่องอุณหภูมิแล้ว ยังช่วยทำให้ลมธรรมชาติทะลุผ่านได้อย่างอิสระด้วย เหมาะกับทำเป็นรั้วบ้าน

 

  1. จัดตั้งหิ้งสะท้อนพร้อมช่องรับแสงสว่าง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยได้ เพียงแค่หากต้องการตั้งหิ้งรับแสง ควรจะต้องตั้งช่องรับแสงไว้ด้านบนหิ้งด้วย เป็นการกระจายแสงให้ทั่วถึงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยแดดจะสะท้อนไปสู่ช่องรับแสงสว่างที่ข้างบน โดยที่อุณหภูมิถูกลดน้อยลงไปด้วย ส่วนข้างล่างจะเป็นหน้าต่างที่เปิดเผยให้มองเห็นทิวทัศน์ข้างนอก รวมทั้งรับลมได้

 

  1. จัดตั้งผ้าม่านบังแดดที่ด้านใน หากคุณตัดสินใจเลือกทำตามขึ้นตามวิธีที่สี่หรือติดหน้าต่างแบบกระจกขนาดใหญ่ การตั้งผ้าม่านจะช่วยกรองแดดจากด้านนอกที่สะท้อนเข้ามาด้านในภาย ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้อุณหภูมิในบ้านร้อนอบอ้าว ควรที่จะเลือกใช้ผ้าม่านสีอ่อน ๆ ด้วยเหตุว่าผ้าโทนสีแก่นั้นจะอมความร้อน ซึ่งทำให้บ้านยิ่งร้อนหนักกว่าเดิมนั่นเอง

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    ปัญหาการได้ยิน

ก่อนเดินทางไกลควรเตรียมตัวอย่างไร 

สำหรับใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวหรือมักจะต้องมีการขับรถไปทำธุระในระยะทางไกลๆในบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีการเตรียมตัวให้กับคุณก่อนที่จะมีการเดินทางเพื่อที่จะได้มีความพร้อม  และลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดอันตรายขณะที่มีการขับรถระยะไกลได้อีกด้วย

แน่นอนว่าการเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกลนั้นจะต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งรถยนต์ที่เราจะใช้ในการขับและตัวเราเองที่เป็นคนขับก็ต้องมีความพร้อมทั้งคู่

โดยสำหรับตัวคนนั้นต้องมีการเตรียมความพร้อมเรื่องของการพักผ่อนให้เพียงพอเพราะถ้าหากว่าเราพักผ่อนเพียงพอในขณะที่เราขับรถยนต์เราก็จะไม่รู้สึกเพลียและง่วงนอน  สามารถขับรถยนต์ในระยะทางไกลและมีสติอยู่ตลอดเวลาได้

ในขณะเดียวกันรถยนต์ของเราก็ต้องเตรียมความพร้อมเช่นเดียวกันเนื่องจากว่าขับรถไปไกลๆถ้าหากว่ารถยนต์เสียระหว่างทางแล้วก็จะเกิดความยุ่งยากมากมาย

เพราะจะหาศูนย์ซ่อมรถยนต์ยากยิ่งไปในจังหวัดที่เราไม่รู้ว่าจะหาช่างได้จากที่ไหนจะยิ่งลำบากดังนั้นก่อนที่เราจะออกเดินทางเราควรที่ต้องมีการตรวจสอบสภาพรถยนต์ของเราก่อนว่ามีความพอมากหรือไม่ซึ่งเราสามารถนำรถยนต์ไปเข้าศูนย์ตรวจเช็ค  โดยเราจะต้องมีการเช็คทั้งยางรถยนต์และเช็คระบบเบรครถยนต์ของเราเพราะเป็นส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการขับรถเดินทางไกลและนอกจากนี้ควรจะต้องมีการเช็คระบบไฟโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าเราต้องขับรถยนต์ในเวลากลางคืนเพื่อลดความเสี่ยงในการที่จะทำให้เรานั้นเกิดอุบัติเหตุ 

ยังไงก็ตามเมื่อมีการเตรียมกายพร้อมและใจพร้อมรวมถึงรถคู่กายก็พร้อมแล้วในขณะที่เราขับขี่รถยนต์นั้นเราก็จะต้องมีการเตรียมเครื่องดื่ม  และขนมขบเคี้ยวเอาไว้ด้วยเพื่อป้องกันเวลาที่เราขับรถไปแล้วเกิดง่วงเราจะได้มีเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวไว้กินระหว่างทาง  นอกจากนี้ควรจะเตรียมเพลงเอาไว้เปิดฟังระหว่างขับรถเพื่อที่เราจะได้ไม่ง่วงนอนหรือถ้าหากเป็นไปได้ก็หาคนนั่งด้านข้างไปด้วยเพราะจะได้ชวนเราคุยระหว่างทาง

อย่างไรก็ตามในการขับรถทางไกลนั้นถ้าหากว่าขณะขับรถเราเกิดความรู้สึกเพลียและง่วงนอนก็ไม่ควรที่จะฝืนเราสามารถแวะเข้าไปในปั๊มและจอดรถเพื่องีบหลับสัก 20-30 นาทีก็ได้หรือจะเข้าไปในปั๊มเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นก่อนที่จะขับรถต่อไปก็ได้เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้อย่าลืมว่าเมื่อเราขับรถไปในต่างจังหวัดหรือไปในพื้นที่ที่เราไม่เคยไปมาก่อนไม่ควรขับรถเร็วจนเกินไปเพราะมีความเสี่ยงสูงที่เราจะไม่ชำนาญเส้นทางและทำให้เกิดอุบัติเหตุได้รวมถึงอย่าลืมว่าการขับรถที่ปลอดภัยนั้นจะต้องขับขี่ตามกฎจราจร

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    ตรวจสุขภาพ

การออกกำลังกายของเด็กอายุระหว่าง 6-12 ปี

ในสมัยโบราณนั้นผู้คนมักจะชื่นชอบเด็กอ้วน  เพราะดูเจ้าเนื้อจ้ำม่ำและดูน่ารัก  แต่สำหรับในสมัยปัจจุบันนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองมักจะห่วงลูกหลานของตนเองว่าจะอ้วนมากจนเกินไปและทำให้สุขภาพไม่แข็งแรงและที่สำคัญถ้าหากอ้วนเยอะๆตั้งแต่เด็กก็อาจจะไม่สามารถลดความอ้วนได้เมื่อโตขึ้นมาก็อาจจะมีหุ่นที่ไม่สวยงาม 

ดังนั้น ปัจจุบันพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กหลายๆคนนั้นส่งเสริมให้ลูกหลานของตนเองนั้นออกกำลังกาย

เพราะจะเห็นได้ว่าเด็กในยุคปัจจุบันนั้นมักกินอาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์มากนักอย่างเช่นอาหารฟาสต์ฟู้ดและมักจะชื่นชอบการกินอาหารที่มีแป้งและไขมันเยอะมากซึ่งจะทำให้เด็กนั้นมีร่างกายที่อ้วนท้วนมากจนเกินไป และที่สำคัญเด็กส่วนใหญ่นั้นมักจะไม่ค่อยชอบขยับเขยื้อนร่างกายเพราะส่วนใหญ่มักจะนั่งเล่นมือถือหรือไม่ก็ดูทีวี

ปัจจุบันผู้ปกครองจึงมักจะหาวิธีให้บุตรหลานของตนเองหันมาสนใจเกี่ยวกับเรื่องของการออกกำลังกาย  โดยในบทความนี้นั้นจะมาแนะนำวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับเด็กที่อยู่ระหว่างอายุ 6-12 ปี  ซึ่งเด็กระหว่างนี้นับได้ว่าเป็นเด็กที่รู้และเข้าใจสิ่งต่างๆรอบกายได้มากขึ้นแล้วดังนั้นเราควรที่จะส่งเสริมให้เด็กอายุในเกณฑ์นี้หันมาสนใจสุขภาพของตนเอง  เพื่อที่เด็กจะได้มีกิจกรรมทำนอกเหนือจากการเล่นมือถือและการดูทีวี

สำหรับการออกกำลังกายของเด็กที่อยู่ระหว่างอายุ 6-12 ปีนั้นเราไม่ควรที่จะให้เด็กออกกำลังกายหนักมากจนเกินไปควรเลือกกิจกรรมการออกกำลังกายที่กำลังพอดีและให้เด็กรู้สึกว่าเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้เกิดความรู้สึกสนุกสนานเด็กจะได้รู้สึกเพลิดเพลินและชื่นชอบเกี่ยวกับการออกกำลังกายซึ่งจะเป็นการปูพื้นฐานที่ดีในการที่จะส่งเสริมให้เด็กรักกันออกกำลังกายในอนาคต 

ดังนั้นกิจกรรมการออกกำลังกายจึงได้แก่  การเดินเร็วหรือการขี่จักรยาน  เป็นต้นเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่ายๆแล้วก็ไม่ใช่กิจกรรมที่หนักมากนัก

โดยเราสามารถทำกิจกรรมกันเดินเร็วหรือแม้แต่ขี่จักรยานได้เป็นประจำทุกวันซึ่งอาจจะทำวันละประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้  นอกจากนี้ยังสามารถหากิจกรรมอื่นๆเพิ่มเติมเข้าไปได้ด้วยไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมว่ายน้ำหรือกิจกรรมเล่นฟุตบอลโดยกิจกรรมต่างๆเหล่านี้สามารถทำกับเพื่อนคนอื่นๆได้ทำให้เด็กนั้นไม่รู้สึกเบื่อหน่าย

ตรวจสุขภาพประจำปี    และเด็กยังมีความสนุกสนานเป็นการออกกำลังกายที่ไม่เหมือนกับการออกกำลังกายเพราะเด็กๆจะรู้สึกว่าเป็นการเล่นมากกว่าการออกกำลังกายซึ่งจะทำให้เด็กๆชื่นชอบการออกกำลังกายแนวนี้มากและจะไม่งอแงถ้าหากผู้ปกครองชวนไปออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำหรือการปั่นจักรยาน หรือเล่นฟุตบอลอย่างแน่นอน

ข้อมูลเกี่ยวกับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) เป็นภาวะการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อ Escherichia coli (E. coli) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบได้ในลำไส้ใหญ่ ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่าของผู้ชาย ทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายกว่า

ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาพูดถึงสาเหตุที่ทำให้คนเราป่วยเป็นโรคปัสสาวะอักเสบกัน ว่ามีสาเหตุมาจากอะไรได้ รวมถึงอาการที่จะต้องเจอหากว่าเรากำลังป่วยเป็นโรคชนิดนี้ และที่สำคัญหากมีอาการแล้ว เราควรที่จะดูแลตัวเองอย่างไรถึงจะทำให้รักษาอาการป่วยจากโรคนี้ได้ 

 สาเหตุ

  1. การติดเชื้อแบคทีเรีย: สาเหตุหลักของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบคือการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะ Escherichia coli (E. coli) ที่อยู่ในทางเดินปัสสาวะ
  2. การระคายเคืองทางกายภาพ: เช่น การใช้สายสวนปัสสาวะ การใช้ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยส่วนบุคคลที่มีสารเคมีแรง
  3. การใช้ยา: ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคมะเร็งบางชนิด อาจทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ
  4. โรคทางระบบ: โรคบางชนิด เช่น เบาหวาน สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

 

 อาการ

ปัสสาวะบ่อยและรู้สึกเจ็บหรือแสบขณะปัสสาวะ

– ปัสสาวะบ่อยและเร่งด่วน

– ปวดท้องน้อย

– ปัสสาวะมีเลือดหรือขุ่น

– มีกลิ่นปัสสาวะแรง

รู้สึกเหมือนต้องการปัสสาวะตลอดเวลา แต่ปัสสาวะออกน้อยมาก

 

 การวินิจฉัย

  1. ตรวจปัสสาวะ: ตรวจดูการมีอยู่ของแบคทีเรียหรือเม็ดเลือดขาว
  2. การเพาะเชื้อปัสสาวะ: เพื่อระบุชนิดของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ
  3. การส่องกล้องตรวจภายใน: สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อนหรือต้องการตรวจเพิ่มเติม

การรักษา

  1. ยาปฏิชีวนะ: เป็นการรักษาหลักสำหรับการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยแพทย์จะจ่ายยาตามชนิดของแบคทีเรียที่พบ
  2. ยาแก้ปวด: เพื่อลดอาการปวดและไม่สบายขณะปัสสาวะ
  3. การดื่มน้ำมากๆ: เพื่อช่วยขับแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ
  4. การหลีกเลี่ยงสารระคายเคือง: เช่น ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยที่มีสารเคมีแรง

 

การป้องกัน

– รักษาความสะอาดของบริเวณอวัยวะเพศ

– ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับแบคทีเรียออก

– ปัสสาวะหลังการมีเพศสัมพันธ์เพื่อขับแบคทีเรียที่อาจเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ

– หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงบริเวณอวัยวะเพศ

 

สำหรับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบนี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศและทุกวัย ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องดูแลสุขภาพร่างกายของเราให้ดี และถ้าหากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    คาสิโนเวียดนาม

ประโยชน์ด้านสุขภาพที่ได้จากการเต้น 

ประโยชน์ด้านสุขภาพที่ได้จากการเต้น 

การเต้นก็ถือว่าเป็นการขยับเขยื้อนร่างกายอย่างหนึ่งซึ่งคุณรู้ดีอยู่แล้วว่าการที่เราขยับเขยื้อ ร่างกายของเรานั้นแม้เพียงแต่ว่าเป็นการก้าวเดินนั้นก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายเช่นเดียวกันดังนั้นการเต้นก็เป็นส่วนหนึ่งของการออกกำลังกายและยังมีประโยชน์ด้านสุขภาพเป็นอย่างมาก

เรามาดูกันว่าถ้าหากว่าเราเต้นนั้นเราจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งการเต้นในที่นี้เป็นการเต้นแบบกิจกรรมเข้าจังหวะไม่ใช่เป็นการเต้นโลดโผนเหมือนเต้นในผับ 

คนเราเมื่ออายุมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นสภาพภายในและภายนอกร่างกายนั้นก็ต้องทรุดโทรมเสื่อมลงตามวัย ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพร่างกายหรือแม้แต่ความจำของสมองแต่ถ้าหากว่าเรามีการออกกำลังกายเพื่อเป็นการกระตุ้นการทำงานของร่างกายโอกาสที่ความเสื่อมของร่างกายจะเกิดขึ้นเร็วนั้น

ก็จะลดน้อยลงอย่างเช่นการเต้นรำนั้นก็สามารถเป็นการกระตุ้นการทำงานของสมองไม่ให้เสื่อมลงเร็วได้เช่นเดียวกัน

เนื่องจากว่าการเต้นนั้นจะต้องมีการเคลื่อนไหวจะต้องมีการจับจังหวะการเต้นจะต้องมีการจำท่าเต้นดังนั้นสิ่งต่างๆเหล่านี้เองที่ทำให้สมองของเรามีการคิดวิเคราะห์และโอกาสที่สมองจะเสื่อมนั้นก็เป็นไปได้ยากขึ้น 

นอกจากนี้การเต้นรำนั้นยังช่วยทำให้กล้ามเนื้อของเราเกิดความยืดหยุ่นเพราะได้มีการขยับแขนขยับขาซึ่งเป็นการขยับที่ไม่ได้เลวและรุนแรงมากนักจึงไม่ผลเสียต่อข้อต่อและไม่เกิดการอักเสบต่อกระดูกและภายในร่างกายซ้ำยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อได้ดีอีกด้วย

และที่สำคัญในการไปเต้นนั้นยังช่วยสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินลดอาการเครียดเนื่องจากว่าตอนที่เต้นนั้นผู้คนก็จะอารมณ์ดีและร่างกายก็จะมีการผลิตฮอร์โมนเซโรทีนินที่ส่งผลทำให้ความเครียดลดลง

  ดังนั้นหากใครที่กำลังมีชีวิตที่เบื่อหน่ายหรือเกิดความเครียดหรืออาจจะเป็นคนที่อยู่ในสภาวะที่เป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าการออกกำลังกายด้วยการเต้นก็จะเป็นการรักษาภาวะซึมเศร้าได้อย่างดีเยี่ยมอีกอย่างหนึ่งเลยทีเดียวเพราะว่าการเต้นนั้นจะทำให้เราสนุกสนาน

และกระปรี้กระเปร่าและมีเพื่อนพูดคุยเป็นการออกสังคมอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้านั้นรู้สึกไม่เหงาอย่างแน่นอน

เนื่องจากว่าการเต้นนั้นนับได้ว่าเป็นการออกกำลังกายในอีกรูปแบบหนึ่งดังนั้นมันจะมีการพัฒนาทางด้านอารมณ์และความมั่นใจรวมถึงการเคลื่อนไหวทางร่างกายก็จะทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงมีความสมดุลมีการพัฒนาทั้งพละกำลังและระบบการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น

ทัวร์คาสิโนเวียดนาม   และที่สำคัญทำให้เราไม่เกิดโรคอ้วนและหากใครอยากจะลดน้ำหนักการออกกำลังกายด้วยการเต้นนั้นก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เป็นการลดน้ำหนักแบบเบาๆได้อีกด้วย